เทรนด์เทคโนโลยี

อัปเดต 13 เทรนด์เทคโนโลยี ปี 2023 ที่จะส่งผลต่อการทำธุรกิจมีอะไรบ้าง

นักธุรกิจต้องรู้และตามให้ทันโลก มารู้จักกับ 13 เทรนด์เทคโนโลยี ที่จะสามารถพัฒนาระบบการทำงานของธุรกิจของคุณให้เข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้น

Contents hide

 

 

เทรนด์เทคโนโลยี

ในปีที่ผ่านมาหลายๆคนจะหาข้อมูลเกี่ยวกับข่าวสารทางด้านเทคโนโลยีว่าเทคโนโลยีอะไรที่กำลังมาในแต่ละอุตสาหกรรม และสามารถพูดได้เลยว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานั้นเทคโนโลยีได้รับความนิยมจากผู้คนเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากทั้งในการทำงาน การพักผ่อน ช้อปปิ้ง หรือแม้กระทั่งเรื่องสุขภาพ จึงทำให้ทั้งผู้คน และธุรกิจต่างๆอยากจะรู้ถึงถึงเทรนด์ของเทคโนโลยีในอนาคตว่าจะส่งผลต่อการใช้ชีวิต และการทำธุรกิจในอนาคตเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

ตั้งแต่การนำเทคโนโลยี AI หรือ Artificial intelligence มาใช้งานจนถึงนวัตกรรมที่เอามาช่วยยกระดับประสบการณ์ในการช้อปปิ้ง เทคโนโลยียังคงมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้ชีวิต และการทำงานอย่างต่อเนื่องในปี 2022 ที่กำลังจะมาถึงนี้ 

 

13 เทรนด์เทคโนโลยี Digital Transformation แห่งปี 2023

1. Automation เสริมประสิทธิภาพไปอีกขั้น

เทคโนโลยี Automation คือหนึ่งในสิ่งที่จะใคร ๆ จะมองหามากที่สุดในการทำ Digital Transformation ในปีนี้ ด้วยปัญหาความไม่แน่นอน (Uncertainty) ทั้งหลายที่เกิดขึ้น เช่น ราคาพลังงานที่แพงขึ้น เงินเฟ้อ ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ จึงทำให้เทคโนโลยี Automation คือสิ่งที่จำเป็นอย่างมากเพื่อช่วยให้องค์กรมีผลิตผล (Productivity) สูงขึ้น ใช้แรงงานมนุษย์น้อยลง รวมทั้งกระบวนงานที่ทำให้กลายเป็นแบบดิจิทัลแล้วนั้นจะเกิดความผิดพลาดน้อยลงอีกด้วย

2. เครื่องมือ Low Code/No Code สนับสนุนแรงงานขาดแคลน

อย่างที่รู้กันว่าปัญหาแรงงานขาดแคลน (Talent Shortage) ยังคงเป็นอยู่อย่างต่อเนื่อง ทำให้ทีมไอทีจำเป็นต้องอยู่ภายใต้ความกดดันอย่างมากเมื่อต้องทำเรื่อง Digital Transformation ให้กับองค์กร และหนึ่งในเครื่องมือที่จะช่วยทำให้เกิดกระบวนงานอัตโนมัติได้อย่างรวดเร็วนั่นคือเครื่องมือแบบ Low Code/No Code ที่สามารถช่วยสนับสนุนการการพัฒนาระบบอย่างรวดเร็วขึ้น พร้อมกับแก้ไขปัญหาแรงงานขาดแคลนได้อย่างมาก

 

3. AI/ML ปลดล็อกศักยภาพไปอีกขั้น

วิวัฒนาการของ AI/ML ที่เกิดขึ้นมาอย่างรอดเร็วนั้น กำลังเปลี่ยนโลกของการทำงานไปโดยสิ้นเชิง ตามที่เห็นได้ว่าหลาย ๆ งานในปัจจุบันนั้นสามารถใช้ระบบ AI ทดแทนมนุษย์ได้แบบครบถ้วน เช่น ระบบแนะนำส่วนบุคคล เอกสาร  ระบบรู้จำใบหน้า  หรือแชทบอท ป้ายทะเบียนรถยนต์ หรือว่าระบบวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งนอกจากจะทำให้ประสิทธิภาพดีขึ้นแล้ว ยังมีความแม่นยำมากกว่า อีกทั้งประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าอีกด้วย ซึ่งปี 2023 นี้ AI/ML ก็จะยังคงเติบโตและสามารถปลดล็อกศักยภาพใหม่ ๆ ไปอีกขั้นให้เห็นกันทั่วโลกอย่างแน่นอน

 

4. Composability เสริมความคล่องตัว

แน่นอนว่าความคล่องตัว (Agility) คือสิ่งที่จำเป็นอย่างมากในปัจจุบัน แต่ทว่าองค์กรส่วนใหญ่จะไม่สามารถสร้าง Agility ขึ้นมาได้เพราะเทคโนโลยีที่ใช้งานยังไม่ทันสมัย  ผนวกกับเรื่องข้อมูลภายในองค์กรที่ยังเป็นไซโล (Silo) อยู่จำนวนมาก จึงทำให้ Mulesoft คาดว่าปี 2023 นี้ หลายองค์กรจะแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยกลยุทธ์ถอดประกอบได้ (Composable) กันมากขึ้น คือการพัฒนาสิ่ง ๆ ให้สามารถ “ใช้ซ้ำ (Reuse)” เพื่อทำให้ทีมงานสามารถนำไปประยุกต์ (Adapt) ต่อยอดได้ทันกับตามความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

 

5. Total Experience (TX) ประสบการณ์ทั้งฝั่งผู้บริโภคและพนักงาน

ก่อนหน้านี้องค์กรส่วนใหญ่มักจะมุ่งเน้นในเรื่องการปรับปรุงประสบการณ์ผู้บริโภค (Customer Experience : CX) เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตและสร้างความจงรักภักดี (Loyalty) ต่อแบรนด์ หากแต่หลังจากนี้ องค์กรจะเริ่มกลับมาสนใจในประสบการณ์ของพนักงาน (Employee Experience : EX) กันมากขึ้น เพราะสิ่งนี้คืออีกหนึ่งในปัจจัยสำคัญของความสำเร็จองค์กรในอนาคต และทั้งสองส่วนนี้รวมกันเรียกว่า Total Experience (TX)

 

6. Automated Data Intelligence ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลอย่างแท้จริง

จากที่ผ่านมาจะเห็นว่าแทบทุกองค์กรกำลังพยายามขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven) กันทั้งสิ้น แต่ว่าข้อมูลที่ถือว่าเป็นสินทรัพย์อันมีค่านี่เองนั้นกลับยังคงถูกจัดเก็บไว้เป็นไซโล (Silo) เสียส่วนใหญ่ จะเรียกใช้ก็มักจะเกิดความติดขัดอะไรมากมายภายในองค์กรอยู่เสมอ แต่ Mulesoft ได้ชี้ว่าหลาย ๆ องค์กรจะแก้ปัญหานี้ด้วยวิธีการ Composable เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลกันได้ง่ายขึ้น ซึ่งเมื่อดำเนินการได้สำเร็จจะทำให้เกิด “Data Fabric” ที่ข้อมูลจะเชื่อมโยงกันได้ทุกแพลตฟอร์มและกับผู้ใช้งานในภาคธุรกิจ เหมือนผ้าที่ถักร้อยไว้ด้วยกัน

 

7. Cybersecurity ที่เชื่อมโยงหลาย Layer มากขึ้น

เรื่อง Cybersecurity คือสิ่งที่คู่กันกับ Digital Transformation อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเนื่องจากองค์กรมีการลงทุนในสถาปัตยกรรมแบบกระจาย (Distributed Architecture) และเทคโนโลยีที่ขอบ (Edge Technology) กันมากขึ้น จึงส่งผลให้ปีนี้คาดว่าจะเกิดความเสี่ยงในเรื่องความมั่นคงปลอดภัย (Security) มากขึ้นกว่าเดิมอีก ดังนั้น องค์กรควรต้องปรับใช้แนวทางการสร้าง “Cybersecurity Mesh” หรือสถาปัตยกรรมแบบ Composable ที่เชื่อมโยงบริการ Security ให้มีความหลากหลายและซ้อนกันไว้หลาย ๆ ชั้นกระจายไว้ในทุก ๆ จุด

 

8. Hybrid Workforce อยู่ที่ไหนก็ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จากสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 เกิดขึ้นและอาจจะกำลังผ่านพ้นไป ได้ทำให้แนวทางการทำงานในยุคใหม่เปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวรก็ว่าได้ ซึ่งตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมานั้นได้พิสูจน์ให้เห็นส่วนหนึ่งแล้วว่าพนักงานหลาย ๆ ตำแหน่งสามารถทำงานจาก “ที่ไหนก็ได้” ได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน นั่นแปลว่าหลาย ๆ องค์กร อาจไม่จำเป็นต้องให้พนักงานเข้ามาที่ออฟฟิศพร้อม ๆ กันทั้งหมดก็เป็นได้

 

9. Cloud Migration จะมีมากขึ้น

อีกสิ่งหนึ่งที่คู่กับการทำ Digital Transformation นั่นคือเทคโนโลยี Cloud ซึ่งจะเห็นว่าองค์กรธุรกิจเริ่มทยอยหันมาใช้งาน Cloud กันมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะสิ่งนี้ได้พิสูจน์ให้หลาย ๆ แห่งเห็นแล้วว่าสามารถลดค่าใช้จ่าย เสริมประสิทธิภาพการทำงาน รวมทั้งลดปัญหาการบำรุงรักษาที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง หรือเรื่องการจ้างพนักงานเพื่อมาดูแลระบบหลังบ้านของตัวเอง เป็นต้น

 

10. Everything as a Service (XaaS) ทุกอย่างเป็นบริการได้หมด

เช่นเดียวกับเรื่อง Total Experience ในมุมของบริการหรือ Service ต่าง ๆ ก็จะเห็นได้ชัดเจนขึ้น ว่าทุกอย่างสามารถให้บริการผ่าน Cloud ได้ทั้งหมด ซึ่งนั่นแปลว่าโลกกำลังจะเริ่มกลายเป็น Everything-as-a-Service (XaaS) ที่ไม่ว่าจะเป็นบริการหรือแอปพลิเคชันอะไร ก็จะกลายเป็นบริการที่เข้าถึงได้ง่าย เริ่มใช้งานได้อย่างรวดเร็วแทบจะทันที

 

11. Blockchain จะมีการลงทุนมากยิ่งขึ้น

แม้ว่าตลาด Cryptocurrency จะดำดิ่งไปในช่วงปีที่ผ่านมา แต่เทคโนโลยี Blockchain นั้นคือส่วนแกน (Core) ที่ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเห็นว่าหลาย ๆ องค์กรและอุตสาหกรรมยังคงนำเอาเทคโนโลยีไปปรับใช้กันมากขึ้น แต่อย่างไรก็ดี มีบางอุตสาหกรรมที่ได้พิสูจน์แล้วว่า Blockchain นั้นอาจจะุไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาได้ทุกสิ่ง

 

12. กำเนิด Customer Data Platform จำนวนมาก

Customer Data Platform (CDP) นั้นเป็นเทคโนโลยีที่เชื่อมโยงแอปพลิเคชันและฐานข้อมูลต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกันเพื่อทำให้องค์กรมีข้อมูลสำหรับวิเคราะห์ลูกค้าแต่ละคน เพื่อสร้างความเข้าใจลูกค้าแต่ละแห่งให้กับองค์กรได้มากที่สุด และสร้างโอกาสให้กับธุรกิจในการทำการตลาดหรือขายสินค้าในอนาคตได้อย่างตรงจุด และเป็นส่วนบุคคลที่มากยิ่งขึ้น

 

13. Sustainability คือทุกสิ่งที่ต้องคำนึง

วินาทีนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารระดับสูงหรือพนักงานทั่วไปก็ตาม จำเป็นต้องพิจารณาในเรื่องของความยั่งยืน (Sustainability) ที่จะมีผลกระทบกับสภาพแวดล้อมธรรมชาติ เพราะแม้ว่าก่อนหน้านี้ผู้บริหารทั้งหลายจะออกมาพูดในเรื่องความยั่งยืนกันอย่างหนัก แต่ก็ยังไม่พอที่จะทำให้ปัญหาเรื่องสภาพภูมิอากาศหายไปจากโลกใบนี้ได้ในอนาคต

 

เทรนด์โลกคือโอกาส

ในโลกอนาคตที่เทคโนโลยีการสื่อสารมีความก้าวหน้าและเชื่อมโยงสังคมในทุกระดับ ส่งผลต่อพฤติกรรมและการตัดสินใจของคน ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว  และยากต่อการคาดการณ์ ความสามารถในการคาดการณ์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงและพฤติกรรมทั้งในระดับบุคคล ระดับองค์กรและระดับประเทศ ถือเป็นปัจจัยสําคัญต่อความ สําเร็จทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ดังนั้น ในการเตรียมความพร้อมเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้พัฒนาและพร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในโลกแห่งความไม่แน่นอน จึงต้องอาศัยปัจจัยหลัก 

 

สรุป

การปรับตัวให้รู้ทันโลกนั้นเป็นสิ่งที่เราควรให้ความสำคัญ เพราะปัจจุบันโลกเราหมุนอยู่ตลอดเวลามีการเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ ทุกเวลา ถ้าเราสามารถปรับตัวตามให้ทันโลกจะเพิ่มโอกาสให้กับชีวิตในหน้าที่การงานของเราได้

 

ผู้ประกอบการท่านใด ต้องการเดินบนเส้นทางธุรกิจออนไลน์ ปรึกษา Exvention ได้เลยครับ นอกจากนี้เรายัง รับทำเว็บไซต์ อีกด้วยท่านใดสนใจติดต่อเราได้เลยครับ

 

Reference :
13 เทรนด์ Digital Transformation แห่งปี 2023
13 Technology trends ที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงกับผู้บริโภค และการทำธุรกิจในอนาคตอันใกล้
เทรนด์โลกคือโอกาส

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *